วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2559

ระบบสื่อสารข้อมูลเครือข่ายคอมพิวเตอร์


ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์

        การสื่อสารข้อมูลเป็นการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึกจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง โดยอาศัยสื่อหรือเครื่องมือต่างๆ เป็นช่องทางในการสื่อสาร เช่น การสื่อสารด้วยท่าทาง ถ้อยคำ สัญลักษณ์ ภาพวาด จดหมาย โทรเลข เป็นต้น ต่อมาการสื่อสารข้อมูลได้พัฒนาและก้าวหน้าไปอย่างต่อเนื่อง มีการนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีด้านเครือข่ายคอมพิวเตอร์มา ประยุกต์ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ทำให้การติดต่อสื่อสารเกิดความสะดวก รวดเร็ว รวมทั้งได้รับข่าวสารทันเหตุการณ์อีกด้วย

ความหมายของการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
        การสื่อสาร หมายถึงกระบวนการถ่ายทอดหรือแลกเปลี่ยนสารหรือสื่อระหว่างผู้ส่งและผู้รับ โดยผ่านช่องทางนำสารหรือสื่อ เพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน
        การสื่อสารข้อมูล หมายถึง กระบวนการหรือวิธีถ่ายทอดข้อมูลระหว่างผู้ใช้กับคอมพิวเตอร์ที่มักอยู่ห่าง ไกลกัน และจำเป็นต้องอาศัยระบบการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นสื่อกลางในการรับส่งข้อมููล
        เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หมายถึง การเชื่อมโยงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป เพื่อให้สามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมทั้งสามารถใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ภายในเครือข่ายร่วมกันได้
        ระบบสื่อสารข้อมูล หมายถึง การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างอุปรกรณ์โดยผ่านสื่อหรือตัวกลางที่อาจเป็นสายเคเบิลในการเชื่อมต่อหรือไม่ใช้สายก็ได้ โดยอุปกรณ์ที่แลกเปลี่ยนข้อมูลนี้จะมีการทำงานร่วมกันของส่วนที่เป็นฮาร์ดแวร์ หรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และซอฟต์แวร์หรือชุดคำสั่ง ซึ่งประสิทธิภาพของระบบสื่อสารข้อมูลนี้ จะขึ้นอยู่กับปัจจัย 4 ประการ ดังนี้
        1. ตรงเป้าหมาย ระบบสื่อสารที่ดี ข้อมูลจะต้องถูกส่งไปยังเครื่องมือ อุปกรณ์หรือกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเท่านั้น การส่งข้อมูลอย่างไร้เป้าหมาย ข้อมูลจึงเป็นเพียงขยะข้อมูลที่ผู้รับไม่ต้องการและไม่เกิดประโยชน์
        2. ความถูกต้อง ระบบการสื่อสารข้อมูลจะต้องมีความถูกต้องและเที่ยงตรง และสามารถปรับให้เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง การตรวจสอบความถูกต้องทำให้ข้อมูลน่าเชื่อถือได้
        3. ความทันสมัย ระบบสื่อสารที่ดีจะต้องมีการส่งที่มีความสัมพันธ์กับเวลาจริง (Real Time) การหน่วงเวลาของข้อมูลอาจจะทำให้ข้อมูลที่ได้รับขาดความสมบูรณ์ หรือกล่าวอีกอย่า่งได้ว่า ข้อมูลที่ส่งมานั้นไม่ทันสมัย ไม่ตรงกับความต้องการใช้ผู้ที่จะใช้ข้อมูลในเวลานั้นๆ
        4. ความคลาดเคลื่อน หรือความสับสนของระบบสื่อสารข้อมูล ตัวอย่างที่เห็นกรณีของการส่งข้อมูลวิดีโอที่มีสัญญาภาพกับสัญญาณเสียงที่ต้องส่งไปแสดงผลลัพธ์สัมพันธ์กัน หากการส่งข้อมูลไม่สัมพันธ์กัน สัญญาณเสียงถูกส่งมาแสดงผลแล้ว แต่สัญญาณภาพถูกหน่วยเวลา แสดงผลได้ช้ากว่าเสียง 3 วินาที ก็ทไให้ได้ผลลัพธ์ของข้อมูลที่ได้ไม่ตรงกับความเป็นจริงได้
องค์ประกอบของระบบการสื่อสารข้อมูล (Components of Data Communication System) 
    ข่าวสาร (Message) ข้อมูลหรือสารสนเทศที่อาจเป็นข้อความ ตัวเลข รูปภาพ เสียง หรือวิดีโอ
    ผู้ส่ง (Sender/Source) อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ใช้สำหรับส่งข้อมูลข่าวสาร เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์
    ผู้รับ (Receiver/Destination) อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ใช้สำหรับรับข่าวสารจากผู้ส่ง เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์
    สื่อกลาง (Transmission Medium) เป็นสื่อกลางที่ทำหน้าที่ให้ข้อมูลข่าวสารเดินทางจากเครื่องส่งไปสู่เครื่องรับ ซึ่่งอาจจะเป็นสายไฟเบอร์ออปติก  สายเกลียวคู่ หรืออาจเป็นคลื่นวิทยุที่มีคลื่นพา (Carrier Wave) ในการนำข้อมูลไปพร้อมกับคลื่นวิทยุไปสู่เครื่องรับ เป็นต้น
    โพรโทคอล (Protocol) กลุ่มของกฎเกณฑ์และข้อปฏิบัติต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นมา เพื่อนำมาใช้เป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับเพื่อให้การสื่อสารบรรลุผล

ประโยชน์ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 
    1. การใช้ทรัพยากรร่วมกัน (Resources Sharing) หมายถึง การใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องพิมพ์ร่วมกัน
    2. การแชร์ไฟล์ เมื่อคอมพิวเตอร์ถูกติดตั้งเป็นระบบเน็ตเวิร์กแล้ว การใช้ไฟล์ข้อมูลร่วมกันหรือการแลกเปลี่ยนไฟล์ทำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
    3. สามารถบริหารจัดการทำงานคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องได้จากศูนย์กลาง (Centralized Management)
    4. สามารถทำการสื่อสารกันในเครือข่าย (Communication) ได้หลายรูปแบบ
    5. มีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลบนเครือข่าย (Network Security)

            
ลักษณะข้อมูลที่ใช้สื่อสารในคอมพิวเตอร์
        ข้อมูลข่าวสาร (Message) คือสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผ่านไปในระบบสื่อสาร ซึ่งอาจถูกเรียกว่า สารสนเทศ (Information) โดยแบ่งเป็น 5รูปแบบ ดังนี้
    1. ตัวอักษร (Text) ใช้แทนตัวอักขระต่าง ๆ ซึ่งจะแทนด้วยรหัสต่าง ๆ เช่น รหัสแอสกี เป็นต้น
    2. ตัวเลข (Number) ข้อมูลตัวเลขที่สื่อสารในคอมพิวเตอร์ ไม่ได้ใช้ค่าตัวเลขที่ผู้ใช้ป้อนหรือส่งเข้าในคอมพิวเตอร์ แต่จะต้องแปลงเลขฐานสิบที่ป้อนเข้าไปให้เป็นชุดของเลขฐานสองที่เรียกว่ารหัสแอสกีนั่นเอง
    3. รูปภาพ (Images) ข้อมูลรูปภาพที่สื่อสารในคอมพิวเตอร์จะใช้ชุดของบิตที่เป็นเลขฐานสองโดยเป็นชุดตาราง 2 มิติ (Matrix) ที่ใช้อ้างอิงตำแหน่ง (Pixel) ซึ่งเป็นจุดเล็ก ๆ ที่เรียงกันประกอบเป็นรูปภาพ
    4. เสียง (Audio) ข้อมูลเสียงหรือดนตรีที่สื่อสารในคอมพิวเตอร์เป็นข้อมูลหรือเหตุการณ์ที่ต่อเนื่อง จะแตกต่างจากตัวอักษร ตัวเลข และรูปภาพเพราะข้อมูลเสียงจะเป็นสัญญาณแบบแอนะล็อกที่เป็นสัญญาณคลื่น
    5. วิดีโอ (Video) ข้อมูลวิดีโอเป็นข้อมูลรูปภาพหรือภาพยนตร์ที่มีความต่อเนื่องกัน และประกอบด้วยข้อมูลเสียงควบคู่กันไป 


ความรู้เพิ่มเติม
    สัญญาณที่ส่งทางโทรศัพท์พื้นฐานในประเทศไทย เป็นสัญญาณแบบแอนะล็อก ซึ่งมีลักษณะเป็นคลื่น ไม่ใช่การส่งแบบ 0 และ 1 ดังนั้นสัญญาณแอนะล็อกจึงจะถูกรบกวน (Noise) ได้ง่ายกว่าสัญญาณดิจิทัล

ทิศทางของการสื่อสารข้อมูล
    1. แบบทิศทางเดียวหรือซิมเพล็กซ์ (One-way หรือ Simplex)
    เป็นการส่งข้อมูลในทิศทางเดียว คือข้อมูลถูกส่งไปในทางเดียว เช่น สถานีวิทยุกระจายเสียง การแพร่ภาพทางโทรทัศน์
    2. แบบกึ่งทางคู่หรือครึ่งดูเพล็กซ์ (Half-Duplex)
    เป็นการส่งข้อมูลแบบสลับการส่งและรับข้อมูลไปมา จะทำในเวลาเดียวกันไม่ได้ เช่น การใช้วิทยุสื่อสาร คือจะต้องสลับกันพูด เพราะจะต้องกดปุ่มก่อนแล้วจึงจะสามารถพูดได้
    3. แบบทางคู่หรือดูเพล็กซ์เต็ม (Full - Duplex ) 
    เป็นการส่งข้อมูลแบบที่สามารถส่งและรับข้อมูลได้พร้อมกันในเวลาเดียวกัน ซึ่งวิธีนี้ทำให้การทำงานเร็วขึ้นมาก เช่นการพูดทางโทรศัพท์ เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ตัวอย่างเหตุการ์ณทะเลาะวิวาท



ปัญหาการทะเลาะวิวาทและการใช้ความรุนแรงของนักเรียน นักศึกษา

๑.  แนวทางการป้องกันและการแก้ไขปัญหาในระดับครอบครัว
     พ่อ แม่ ควรได้รับการอบรมแนวทางที่ถูกต้องในการเลี้ยงดูลูก และวิธีการสอนเชิงสร้างสรรค์ความคิด ควรประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูก หากโรงเรียนใดเกิดปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียนขึ้น ทางโรงเรียนควรเชิญพ่อแม่ ผู้ปกครอง มารับรู้พฤติกรรมของลูกของตนด้วยและควรจัดอบรมวิธีการเลี้ยงดูเด็กที่มีปัญหาทางครอบครัว
๒.  การใช้หลักศาสนามาช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหา   
  ควรมีหลักสูตรศาสนากำหนดไว้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของกระทรวงศึกษาธิการและมีตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิทางศาสนาเป็นอัตราบรรจุในแต่ละโรงเรียน เพื่อทำหน้าที่สอนศาสนาให้กับนักเรียนนักศึกษา ควรมีหนังสือธรรมะที่ง่ายต่อการอ่านและความเข้าใจ ความสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น นิทานธรรมะสำหรับเด็ก หนังสือมงคลชีวิต เป็นต้น
๓.  แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาภายในโรงเรียน     
๑) ด้านหลักสูตร
          ควรมีการบูรณาการเรื่องศีลธรรมลงไปในทุกวิชา เพื่อจะได้เป็นการสอดแทรกธรรมะเข้าไปในจิตใจของนักเรียนตลอดเวลา และก่อนเรียนหนังสือทุกวิชาต้องให้นักเรียนนั่งสมาธิก่อน ๕ นาที เพื่อปรับใจของนักเรียนให้พร้อมที่จะรับรู้สิ่งที่จะได้เรียนต่อไป เน้นสอนเด็กให้มีความรับผิดชอบต่อตนเองครอบครัว สังคม และประเทศชาติ
     ๒) ด้านมาตรการป้องกันภายในโรงเรียน
          ตรวจค้นอาวุธนักเรียนนักศึกษาทุกวัน โดยมอบหมายให้ตำรวจเป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมาย ครูต้องเข้มงวดมากขึ้น ในการสอน อบรม ทำโทษเด็ก หลังการถูกจับ ครูต้องทำโทษ เช่น ทำทัณฑ์บน โรงเรียนต้องมีมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น หรือลงโทษด้วยการให้บำเพ็ญประโยชน์ภายในเวลาที่กำหนด แทนการลงโทษทางอาญา โดยทำเหมือนกันทุกโรงเรียน
     ๓) โรงเรียนควรมีการประสานความร่วมมือกับฝ่ายต่าง ๆ ดังนี้         
ให้สถาบันการศึกษาส่งรายละเอียดกิจกรรมสำคัญของสถาบันที่จะดำเนินการ ให้กับตำรวจล่วงหน้า ๒ อาทิตย์ เพื่อให้ตำรวจได้สืบสวนหาข่าวและวางแผนการป้องกันการก่อเหตุทะเลาะวิวาท
          ประสานงานกับโรงเรียนอื่น ๆ โดยจัดทำทะเบียนประวัตินักเรียนนักศึกษาที่เป็นกลุ่มเสี่ยง และแจกจ่ายไปตามโรงเรียนต่าง ๆ นำกลุ่มเสี่ยงของแต่ละโรงเรียนมาพบปะและสัมมนากัน

 ๔) ด้านตัวของนักศึกษา         
 ให้มีกลุ่มเครือข่ายคนดี หรือกลุ่มเครือข่ายวัยรุ่นคุณธรรม หรือกลุ่มนักเรียนต้นแบบในโรงเรียนคอยสอดส่องและส่งข่าวความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ภายในโรงเรียน สร้างสังคมให้ยอมรับ ส่งเสริม สนับสนุนคนทำความดี
๕) ด้านการจัดกิจกรรมและบำเพ็ญประโยชน์         
      จัดให้มีกิจกรรมทั้งภายในและภายนอกสถาบันการศึกษา เป็นกิจกรรมที่เน้นการพัฒนาจิตใจด้านศีลธรรม ผ่อนคลาย ระบายความเครียดจากการเรียน ได้ปลดปล่อยเรี่ยวแรงกำลังออกมาอย่างสร้างสรรค์ เช่น การสอบตอบปัญหาธรรมะชิงทุนการศึกษา การพัฒนาวัดที่อยู่ใกล้เคียง หรือโรงเรียนของตน การแข่งกีฬาสี เป็นต้น
๔.  แนวทางในการฝึกอบรมระเบียบวินัย    
จัดโครงการอบรมเยาวชนกลุ่มที่มีปัญหาเป็นพิเศษ โดยเข้าฝึกวิชาทหาร ๑ ปี หรือ บวช ๑ ปี โดยอนุญาตให้พักการศึกษาได้ จัดกิจกรรมการฝึกวินัยช่วงเปิดเทอมในภาคเรียนที่ ๑ ให้กับเด็กนักเรียนตั้งแต่ระดับมัธยมต้นจนถึงมัธยมปลาย หรือ ปวช. ทุกวัน ๆ ละ ๑ ชั่วโมง โดยให้ทหารมาเป็นครูฝึก นักเรียนตั้งแต่ระดับ ม. ๔ หรือ ปวช. ๑ ทุกคนต้องผ่านการศึกษาวิชาทหารโดยไม่มีข้อยกเว้น
๕.  มาตรการที่สังคมควรช่วยป้องกันและแก้ไข
     ต้องแก้ไขปัญหาตั้งแต่รากหญ้า คือ สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา ที่จะต้องมีการจัดระบบการดูแลเด็กให้สอดรับกัน สังคมต้องยอมรับส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ สถาบันการศึกษาที่ผลิตเด็กนักเรียนนักศึกษาที่อยู่ในระเบียบวินัย ให้เข้าทำงานตามที่ต่าง ๆ ต้องแก้ปัญหาเรื่องเพศให้ลดลง เพราะเรื่องนี้มักเป็นต้นเหตุของเรื่องร้ายแรงอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย
     การลงข่าวของสื่อมวลชนควรอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม ไม่ควรลงข่าวจนทำให้เด็กนักเรียนเกิดความคิดคึกคะนอง อยากดัง จากการเป็นข่าวใหญ่ในสังคม เช่น การลงข่าวการทะเลาะวิวาทกันในข่าวพาดหัวหน้า ๑ หนังสือพิมพ์ เป็นต้น ไม่ควรลงข่าวโดยระบุชื่อสถาบันการศึกษาอย่างชัดเจนเพราะจะเป็นการยั่วยุให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน ควบคุมคุณภาพการผลิตสื่อมวลชนทุกชนิดทุกประเภท มีสายตรงแจ้งเบาะแสเมื่อมีการเริ่มก่อตัวก่อเหตุทะเลาะวิวาทของเยาวชน
๖.  มาตรการการแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทเชิงนโยบาย    
 สรุปมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทและการใช้ความรุนแรงของนักเรียนนักศึกษาเชิงนโยบายต่อรัฐ ดังนี้
     ๑.  มาตรการด้านกฎหมาย จากการศึกษาพบว่ามีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันมิให้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทและการใช้ความรุนแรงของนักเรียนนักศึกษา ควรพิจารณาเสนอกฎหมายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลดังนี้
          ๑) กฎหมายด้านการจำหน่ายและการพกพาอาวุธ ควรมีกฎหมายควบคุมประเภทของอาวุธที่จำหน่ายได้และการตรวจตราใบอนุญาตอย่างจริงจัง ควรเพิ่มโทษของการพกพาอาวุธให้หนักยิ่งขึ้น เพื่อให้นักเรียนนักศึกษาเกรงกลัวต่อความผิด
          ๒) กฎหมายด้านการห้ามนักเรียนนักศึกษาดื่มหรือจัดหาซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้น เมื่อเด็กนักเรียนนักศึกษาเสพย์เข้าไปแล้วทำให้เกิดความกล้า ขาดสติยั้งคิดและสามารถก่อเหตุร้ายได้ตลอดเวลา
          ๓) กฎหมายลงโทษผู้ปกครองที่ปล่อยปละละเลย มิได้กำกับดูแลพฤติกรรมของเด็กนักเรียนนักศึกษา ทำให้เกิดปัญหาขาดความอบอุ่นในครอบครัว แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การเสพย์ยาเสพติด การมีความก้าวร้าวรุนแรง เป็นต้น
          ๔) กฎหมายด้านการกำกับดูแลสื่อประเภทต่าง ๆ ที่มีลักษณะยั่วยุให้วัยรุ่นมีพฤติกรรมก้าวร้าว เช่น สื่ออินเตอร์เน็ต สื่อประเภทวิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ รวมถึงการแสดงออกของนักร้องนักแสดง และสื่อมวลชนทุกประเภท
     ๒.  มาตรการด้านองค์กรตำรวจ ควรให้ความช่วยเหลือเด็กนักเรียนนักศึกษา อย่างรวดเร็ว เป็นที่พึ่งให้กับเด็กนักเรียนนักศึกษาได้ ควรมีศูนย์กลางการรับเรื่องราว ซึ่งอาจเป็นกองสารวัตรนักเรียน สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานย่อยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง อาทิ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและเยาวชน
     ๓. มาตรการด้านงานสารวัตรนักเรียน และเครือข่ายสารวัตรนักเรียน ต้องมีบทบาทที่เข้มข้นในการให้ความคุ้มครองป้องกัน และพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ให้แก่นักเรียนนักศึกษา รวมทั้งการจัดให้มีศูนย์ฝึกปฏิบัติเพื่อการอบรมและให้การศึกษาด้านคุณธรรมจริยธรรม รวมทั้งการอบรมให้นักเรียนนักศึกษาเป็นพลเมืองที่ดีในสังคมประชาธิปไตยและการมีจิตสาธารณะ

     ๔.  รัฐควรเร่งรัดออกพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กโดยด่วน เพื่อเป็นหลักประกันการปกป้องคุ้มครองเด็กต่อไป




กฎหมายการทะเลาะวิวาท

การรักพวกรักพ้องเป็นของดี พอมีเรื่องต่อยตีก็เข้าช่วย ก็ยังเป็นเรื่องดีอยู่นั่นแหละ เพียงแต่ที่ไปช่วยนั้นควรเป็นการช่วยห้ามช่วยแยกมากกว่าช่วยกระหน่ำให้อีกฝ่ายเพลี่ยงพล้ำแพ้ไป มิเช่นนั้นอาจได้ข้อหาทางอาญาติดตัวมาให้กลุ้มใจได้
การตีกันหรือช่วยกันตีมีความผิดเบาะๆ ก็แค่การทะเลาะวิวาท ถ้าทำในที่สาธารณะก็จะถูกปรับไม่เกินห้าร้อยบาท อาจดูน้อยไป ถ้าเช่นนั้นลองดูข้อหาที่หนักหนากว่าหน่อยดูบ้าง
การทะเลาะวิวาทต่อสู้กันโดยมีการแสดงอาวุธหรือชักอาวุธขึ้นมา ไม่ว่าจะมีการแทงการยิงหรือไม่ ก็ได้ข้อหาวิวาทที่อาจไม่เพียงถูกปรับแค่ห้าร้อยบาท แต่อาจได้โทษจำคุกไม่เกินสิบวันติดมาด้วย แม้จะเพียงสิบวันก็คงไม่มีใครฝันอยากเข้าคุกแน่ ข้อหานี้ไม่จำกัดว่าต้องทำในที่สาธารณะเหมือนแบบแรกเท่านั้น กฎหมายก็เอาโทษเอาทัณฑ์ได้หมด
หรือว่าโทษยังดูน้อยไป การทะเลาะวิวาทขนาดใหญ่ก็มีโทษมากมายสูงขึ้นตามมา เป็นต้นว่าถ้าไม่ใช่ทะเลาะวิวาทธรรมดา แต่ว่าเป็นเรื่องชุลมุนต่อสู้กันแล้วมีการตายเกิดขึ้นจากการชุลมุนต่อสู้นั้น โทษก็หนักเป็นการถูกจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
การยกพวกตีกันไม่สำคัญว่าฝ่ายใดจะเริ่มก่อน แต่เมื่อชุลมุนแล้วก็เห็นภาพได้ว่าน่าจะพัลวันกันไปหมด ไม่รู้ว่ามือใครเท้าใครหรือไม้จากมือคนไหนที่ฟาดเข้าใส่จนเกิดความตายขึ้นมา แม้ว่าจะวงแตกแล้วจับมือใครดมไม่ได้ กฎหมายท่านก็กวาดเอาไว้ทั้งทีม
ความผิดในข้อหานี้ไม่มีข้อจำกัดว่าเราจะเป็นฝ่ายคนตายหรือไม่ ก็ต้องได้รับผิดไปเหมือนๆ กัน อีกอย่างที่สำคัญก็คือคนที่ตายอาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชุลมุนต่อสู้กับเขาเลยก็ตามที ขอให้มีความตายอันเกิดจากการชุลมุนนี้ก็มีคุกเป็นเดิมพันแล้ว
ส่วนที่ว่าชุลมุนต่อสู้ก็ไม่ต้องดูจำนวนคนมากมายหลายสิบ เพียงมีการต่อสู้กันตั้งแต่สามคนขึ้นไปก็เรียกตามกฎหมายว่า "ชุลมุนต่อสู้" แล้ว
กฎหมายไม่ได้ต้องการให้เอาตัวรอดไม่ห่วงความปลอดภัยของเพื่อน ใช่ว่ามีเรื่องแล้ววิ่งหนีเอาตัวรอดปล่อยให้เพื่อนถูกซ้อมอยู่ตรงนั้น การที่เกิดชกต่อยตบตีกันก็ต้องการคนมาห้ามมวยด้วย หรือว่าเพื่อนถูกทำร้ายก็เข้าไปต่อสู้เพื่อป้องกันภัยให้เพื่อน อย่างนี้กฎหมายท่านยกเว้นโทษให้ เพราะถือว่าเป็นการเข้าไปห้ามปรามหรือป้องกันตัว
นั่นหมายความว่า ถ้าไม่ได้ความชัดว่าใครเป็นคนทำร้ายจนเกิดความตาย ทำให้ไม่สามารถตั้งข้อหาว่าทำร้ายหรือเจตนาฆ่าได้ ก็มีความผิดฐานชุลมุนต่อสู้เป็นเหตุให้เกิดความตายขึ้นมา แต่ถ้าได้ความว่าคนไหนเป็นคนทำให้ตายไม่เพียงได้จำคุกเพียงไม่กี่ปี แต่มีความผิดฐานฆ่าคนตายหรือทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย แล้วแต่ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร และโทษที่ได้ในข้อหานี้มันหนักหนาทีเดียว

ส่วนพวกที่อยู่ในเหตุการณ์มีส่วนแค่ไหนก็รับผิดตามนั้นไป ถ้าร่วมด้วยช่วยกันอัดเขาจนตายก็ถือว่าร่วมกันกระทำความผิดฐานนั้นๆ ไปด้วยกัน จะเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุนก็ว่ากันไป ถ้าเพียงไปชุลมุนมั่วซั่วกับเขาเท่านั้น ก็รับโทษเพียงการชุลมุนต่อสู้จนเกิดความตายอย่างที่ว่าไว้ข้างต้นเท่านั้น

เรื่องทะเลาะวิวาทบาดหมางต่อกันเป็นเรื่องไม่ดี ไม่มีกฎหมายฉบับไหนเป็นใจสนับสนุน เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นที่สมเหตุสมผลและสมควรแก่กรณี ก็มีการยกเว้นโทษให้ อย่าคิดว่าเพียงยืนดูเป็นกำลังใจ สุดท้ายกลายเป็นอยู่กลางวงที่เขาตีกัน ความเสี่ยงที่จะได้โทษทัณฑ์ก็ตามมา

ผลกระทบต่อสังคม

1.  เป็นเหตุให้เกิดความสูญเสีย  ไม่เพียงแต่จะสร้างปัญหาให้กับตัวเองแล้ว ยังทำให้สถาบันการศึกษาเสื่อมเสียชื่อเสียง และที่สำคัญกว่านั้นคือเป็นปัญหาให้กับสังคมและคนรอบข้าง เพราะนอกจากนักเรียนโรงเรียนคู่อริจะได้รับบาดเจ็บแล้ว คนส่วนหนึ่งที่ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยคือ คนที่โดนลูกหลงนั่นเอง ซึ่งเราก็มักจะเห็นในข่าวอยู่เสมอว่า คนที่ไม่รู้เรื่องหรือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยมักจะได้รับบาดเจ็บ บางรายถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาลนอนให้น้ำเกลือเป็นเดือนๆ บางรายถึงกับต้องเสียชีวิตไปเปล่าๆจากการทะเลาะวิวาทของเด็กวัยรุ่นเหล่านี้
2.  นักเรียนหรือนักศึกษาที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวเป็นกลุ่มที่มีมโนภาพแห่งตนต่ำกว่านักเรียนอาชีวะทั่วไป คือ มองภาพพจน์ตัวเองต่ำ รู้สึกมีปมด้อย ขาดการยอมรับจากสังคม และมีความวิตกกังวล และกลุ่มเพื่อนที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาพฤติกรรมก้าวร้าว และมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมก้าวร้าว กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
3.  ก่อให้เกิดอาชญากรรมของเด็กวัยรุ่นที่กระทำต่อแท็กซี่และคนทั่วไปที่ไม่ได้รู้เรื่อง เช่น เด็กจี้แท็กซี่เพราะต้องการเอาเงินไปเที่ยวกลางคืน การตี ฆ่า ข่มขืน เด็กแว้น (เด็กกวนเมือง) ที่เกิดขึ้นทุกหัวระแหงของสังคมไทย หรือ เด็กผู้หญิงตบตีกันแล้วถ่านคลิปเอาไว้ โชว์พาวข่มขู่เด็กอื่นๆ
4.  เป็นเหตุปัจจัยที่ซับซ้อนและใหญ่โตระดับโครงสร้างทางสังคม ซึ่งไม่สามารถแก้ไขแต่เพียงตัวปัญหาหรือปรากฏการณ์ที่มองเห็นเท่านั้น เหตุปัจจัยที่ว่านี้ได้แก่ ปัญหาด้านชีววิทยา / จิตวิทยาวัยรุ่น ปัญหาการอบรมเลี้ยงดูของครอบครัว ระบบการศึกษา อิทธิพลจากสื่อและโฆษณา ปัญหาบริโภคนิยม

 5.  เมื่อเกิดปัญหาการทะเลาะวิวาท   สถาบันเหล่านี้จะถูกสร้างขึ้นโดยกระบวนการที่เป็นกลไกทางสังคมสั่งสมจนกลายเป็นประเพณีปฏิบัติสืบทอดกันมา นอกจากนั้นการให้ความหมายหรือตีความ โดยเฉพาะการให้ความหมายและการตีความต่อโลกและสังคมของการก่อเหตุทะเลาะวิวาท จะเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นเมื่อดำเนินวิถีชีวิตอยู่ในสังคมวัยรุ่น

ปัญหาหลักของการทะเลาะวิวาทภายในโรงเรียน

           ปัญหาทะเลาะวิวาทของเด็กวัยรุ่นในสังคมไทยเริ่มรุนแรงขึ้นทุกวันซึ่งบ้างก็มีทั้งที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ และไม่เป็นข่าว ซึ่งในแต่ละครั้งก็จะมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหรือบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย
ทำให้สร้างความเดือดร้อนกับตัวผู้ก่อเหตุเองและผู้ปกครองของกลุ่มเด็กวัยรุ่น ซึ่งที่ผ่านมาทางหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ก็ได้มีการหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหานี้มาโดยตลอด เพื่อลดและป้องกันทะเลาะวิวาทของกลุ่มวัยรุ่น ปัญหานี้ได้สร้างความเสียหายทั้งกับตัวนักศึกษาเองและชื่อเสียงของสถาบันอีกด้วย ปัจจุบันนี้ นักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษามีการประกาศสงครามกันผ่านทางอินเตอร์เน็ตในเว็บไซต์ต่างๆ โดยมีการเขียนคำท้าทาย หรือประกาศว่าจะยึดสัญลักษณ์ เช่น หัวเข็มขัด ของสถาบันฝ่ายตรงข้ามให้ได้ รวมถึงใช้ถ้อยคำยั่วยุรุนแรงว่าจะ เด็ดหัวนักศึกษาสถาบันคู่อริ ซึ่งในช่วงที่ใกล้วันสถาปนาของแต่ละสถาบันการทำสงครามทางอินเตอร์เน็ตยิ่งรุนแรง และน่าเป็นห่วง  ซึ่งในปัจจุบันไม่เพียงแค่กลุ่มวัยรุ่นเท่านั้นยังเข้าไปถึงการทะเลาะวิวาทกันข้ามสถาบันอีกด้วย   การทะเลาะวิวาท ปะทะ ต่อสู้ เพื่อ "ศักดิ์ศรีสถาบัน" ของ "นักศึกษาอาชีวะ" ได้กลายเป็น "ธรรมเนียมปฏิบัติ" ที่ยากจะแก้ไข แต่ก็จำเป็นต้องแก้ เนื่องจากปัญหาดังกล่าวนอกจากจะสร้างความอกสั่นขวัญผวาให้แก่สังคม ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตแล้ว ยังสร้างความเสื่อมเสียและทำลายความน่าเชื่อถือให้กับสถาบันการศึกษา ซึ่งเป็น "เสาหลัก" ของการผลิตทรัพยากรมนุษย์อันเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศอีกด้วย  เหตุการณ์การทะเลาะวิวาท ระหว่างนักศึกษาอาชีวะต่างสถาบันที่นับวันยิ่งจะทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเมื่อไม่นานมานี้ได้เกิดกรณีการใช้อาวุธปืนไล่ยิงกันจนเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตนั้น ถือเป็น "ปัญหาเรื้อรัง" ที่สังคมต้องการหาหนทางเยียวยา และแก้ไขอย่างเร่งด่วน



หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาการทะเลาะวิวาทของวัยรุ่น

หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาการทะเลาะวิวาทของวัยรุ่น
1. กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
2. กระทรวงศึกษาธิการ
3. สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)
4. สถาบันการศึกษา
5. สํานักงานตํารวจแห่งชาติ

6. สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการและผู้สูงอายุ